ศิลปะไทยดอทคอม
  • หน้าหลัก  
  • จิตรกรรมไทย  
  • ประติมากรรมไทย 
  • สถาปัตยกรรมไทย 
  • หัตถกรรมไทย 
  • เอกลักษณ์ไทย 
  • นาฏศิลป์ไทย 
  • มรดกไทย 
  • เพลงไทย 
  • อาหารไทย 
  • ภาพถ่าย 
  •  บทความทั่วไป 
  •  E-BOOK 
  • เกี่ยวกับผู้จัดทำ 
  • ติดต่อเจ้าของเว็บ 
  • Home
  • About us
  • Contact

นาฏศิลป์ไทย


      
 

Home > นาฏศิลป์ไทย > โขน

 

โขน

โขน เป็นศิลปะการแสดงอย่างหนึ่งของไทย มีประวัติที่เก่าแก่ยาวนานมาก เชื่อว่ามีความเก่าแก่อย่างน้อยย้อนไปถึงสมัยอยุธยามีการสันนิษฐานว่าเป็นการแสดงที่พัฒนามาจากการแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ กระบี่กระบอง และการแสดงหนังใหญ่ ดังนั้นการแสดงโขนจึงเป็นการรวมศิลปะการแสดงหลายชนิดเข้าด้วยกัน เป็นการแสดงที่อาศัยท่าเต้นเป็นการแสดงออกทางอารมณ์เป็นสำคัญ ตัวละครมีทั้งแบบสวมมงกุฎบนศีรษะ และสวมหน้ากาก โดยการแสดงเป็นเรื่องราว มีทั้งบทเจรจา และบทร้อง สำหรับเนื้อเรื่องที่นำมาแสดงโขนนั้นเดิมมีทั้งเรื่องอุณรุท และรามเกียรติ์ แต่ในปัจจุบันนิยมเล่นแต่เรื่องรามเกียรติ์เท่านั้น

 

วิวัฒนาการของโขน

         การแสดงโขนในขั้นแรกน่าจะแสดงกลางสนามกว้าง ๆ เหมือนกับการแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ ต่อมาการแสดงก็เจริญก้าวหน้ามากขึ้น มีการปลูกโรงไว้ใช้แสดง จนมีฉากประกอบตามท้องเรื่อง จากนั้นโขนก็มีการวิวัฒนาการดัดแปลงการเล่นด้วยวิธีการต่าง ๆ เราจึงเรียกแยกประเภทของโขนตามลักษณะการแสดงนั้น ๆ ได้แก่

 

 1. โขนกลางแปลง

         เป็นการแสดงโขนในยุคแรกแสดงบนพื้นดินกลางสนามหญ้า ไม่ต้องสร้างโรงเล่น มีการแสดงในสมัยอยุธยาหลายครั้ง เพราะการแสดงโขนกลางแปลงเป็นโขนแบบแรกที่เกิดขึ้น นิยมแสดงแต่การยกทัพและรบกันระหว่างฝ่ายพระรามและฝ่ายทศกัณฐ์ โดยใช้ผู้แสดงเป็นพลยักษ์ และพลลิงจำนวนมาก ปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเพียงวงที่เรียกว่า เครื่องห้า ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เพิ่มวงปี่พาทย์ให้มีสองวงเป็นอย่างน้อย ปลูกเป็นร้านยกขึ้นตั้งวงปี่พาทย์ เพื่อให้ผู้บรรเลงเห็นตัวโขนได้ในระยะไกล และมีความเป็นไปได้ว่าวงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงโขนกลางแปลงในอดีตน่าจะมีมากกว่าสองวง เมื่อตัวโขนเข้าไปใกล้วงไหนวงนั้นก็จะบรรเลง ส่วนการดำเนินเรื่องใช้เพียงการพากย์ เจรจาเท่านั้น ไม่มีการขับร้อง

 

 


 

 2. โขนนั่งราว หรือ โขนโรงนอก

        โขนนั่งราวเป็น โขนโรงนอกเป็นโขนที่จัดแสดงบนโรง ไม่มีเตียงสำหรับตัวนายโรงนั่ง มีราวพาดตามส่วนยาวของโรง ตรงหน้าฉากออกมามีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราวตัวโรงมีหลังคา เมื่อตัวโขนแสดงบทของตนแล้วก็ไปประจำบนราว สมมติเป็นเตียงหรือที่นั่งประจำตำแหน่ง ไม่มีบทขับร้อง มีแต่บทพากษ์และบทเจรจา ปี่พาทย์ก็บรรเลงแต่เพลงหน้าพาทย์ เพราะต้องบรรเลงเพลงหน้าพาทย์มากจึงใช้วงปี่พาทย์ 2 วง วงหนึ่งตั้งหัวโรง วงหนึ่งตั้งท้ายโรง หรือตั้งทางซ้ายและทางขวาของโรงจึงเรียกวงปี่พาทย์ 2 วงนี้ว่า "วงหัว" "วงท้าย" หรือ"วงซ้าย" "วงขวา"

        จากจดหมายเหตุของ เดอ ลาลูแบร์ ที่กล่าวถึงการละเล่นบนเวทีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีอยู่ 3 อย่าง คือ โขน ละคร ระบำ ทำให้สันนิฐานได้ว่าโขนในสมัยนั้นดีมีการปลูกโรงให้เล่นแล้ว และน่าจะเป็นลักษณะของโขนโรงนอกหรือโขนนั่งราวนี้เอง

 

 

โขนนอนโรง

        ในเวลาบ่ายก่อนถึงวันแสดงหนึ่งวัน ปี่พาทย์ทั้งสองวงจะบรรเลงเพลงโหมโรง พวกแสดงจะออกมากระทุ้งเส้าตามจังหวะเพลงที่กลางโรง จบการโหมโรงแล้วก็จะแสดงตอนพระพิราพออกเที่ยวป่าจับสัตว์กินเป็นอาหาร พระรามหลงเจ้าสวนพวาทองของพระพิราพ เสร็จการแสดงตอนนี้แล้วก็หยุดพัก นอนเฝ้าโรงอยู่คืนหนึ่ง ในตอนนี้เองคือที่มาของคำว่า "โขนนอนโรง" รุ่งขึ้นจึงแสดงตามเรื่องที่จัดไว้ต่อไป

        สำหรับการแสดงในวันนอนโรงนี้ ในสมัยโบราณจะเคยแสดงตอนอื่นหรือไม่นั้นยังไม่พบหลักฐาน แต่เท่าที่ปรากฏมีเพียงแต่ตอนพิราพพบพระรามเท่านั้น

 


 

 3. โขนหน้าจอ

        เดิมเป็นการแสดงที่แทรกเข้าไปในการแสดงหนังใหญ่บางตอน เมื่อนำโขนเข้ามาแสดงแทรกบ่อย ๆ เข้า จึงให้มีการแสดงแต่โขนอย่างเดียวแล้วยกเลิกหนังใหญ่ไปในที่สุด แล้วก็มีการพัฒนาปลูกโรงยกพื้นขึ้นและขึงจอผ้าขาวแบบจอหนังใหญ่ แต่แก้ไขให้มีประตูเข้าออกทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ด้านซ้ายของเวทีวาดเป็นรูปปราสาทราชวัง สมมติเป็นกรุงลงกาหรือเมืองยักษ์ ส่วนด้านขวาของเวทีวาดเป็นรูปค่ายพลับพลาของพระราม ด้านบนของจอวาดเป็นรูปเมขลารามสูร และพระอาทิตย์พระจันทร์ ดำเนินเรื่องโดยการพากย์และเจรจา ผู้แสดงเป็นตัวเทวดาและตัวพระไม่ต้องสวมหัวโขนปิดหน้าทั้งหมด แต่สวมเครื่องประดับศีรษะที่เรียกว่าชฎาแทน วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงมีวงเดียว เดิมตั้งอยู่บนเวทีต่ำกว่าเวทีโขนด้านหน้าโรง หันหน้าเข้าหาผู้แสดง ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนให้วงปี่พาทย์ตั้งอยู่หลังจอ

 

 


 

 4. โขนโรงใน

        ได้รับการปรับปรุงผสมผสานโขนกับการแสดงละครใน โดยนำเอาการขับร้องเพลงตามแบบละครในมาร้องแทรกในโขนด้วย และยังมีการแสดงแบบจับระบำรำฟ้อนเช่นเดียวกับละครใน จึงเรียกว่า โขนโรงใน โขนโรงในต้องมีโรงสำหรับแสดงและมีฉากหลังเป็นม่านแบบในละครใน การแสดงมีบทพากย์เจรจาแบบโขนและมีการขับร้องแบบละครใน มีเตียงสำหรับตัวแสดงนั่งแบบละครใน เวลาร้องเพลงและบรรเลงปี่พาทย์ต้องมีการตีกรับเป็นจังหวะแบบละครใน ปี่พาทย์ที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโขนหน้าจอใช้ปี่กลางที่มีเสียงสูง ไม่เหมาะสำหรับการแสดงโขนโรงในเนื่องจากปี่กลางเสียงสูงเกินไป ไม่เหมาะแก่การขับร้อง ปี่กลางจึงถูกเปลี่ยนมาเป็นปี่ในตามเสียงที่ลดลงมา วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงโขนโรงในนั้นมีเพียงวงเดียว แต่จะเป็นวงปี่พาทย์ชนิดใดก็ขึ้นอยู่กับฐานะของงาน

 

 


 

 5. โขนชักรอก

        เป็นวิวัฒนาการอีกขึ้นหนึ่งของการแสดงโขน ซึ่งไม่ค่อยมีผู้เขียนไว้เป็นหลักฐาน โขนชักรอกเป็นการแสดงที่ชักรอกตัวโขนให้ลอยขึ้นไปจากพื้นเวที มีทั้งแบบโขนฉากและโขนหน้าจอ ในเรื่องรามเกียรติ์มีบทบาทที่ต้องเหาะเหินเดินอากาศ โขนชักรอกที่แสดงแบบโขนฉากกำเนิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 เนื่องจากมีพระราชอาคันตุกะเข้ามาเมืองไทยอยู่เป็นประจำ ทรงจัดให้มีการแสดงโขนรับรองพระราชอาคันตุกะเหล่านั้น ส่วนโขนชักรอกที่แสดงแบบโขนหน้าจอมีคณะเอกชนนำไปแสดง โขนชักรอกแบบการแสดงโขนหน้าจอไม่ค่อยเรียบร้อยและสวยงามเท่าโขนฉาก เพราะโรงโขนหน้าจอไม่มีโครงหลังคาด้านบนที่แข็งแกร่งรับสายรอก เวลาที่ชักรอกจึงเห็นลวดสลิงที่ผูกสายรอกห้อยยานลงมา

 

 

 

หัวโขน

 เป็นเครื่องใช้สำหรับศีรษะและปิดบังส่วนหน้าที่คล้ายกับหน้ากาก แต่หัวโขนจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไปตรงที่สร้างหุ่นจำลองรูปทรงใบหน้าและศีรษะ ทั้งหมด โดยผู้แสดงสามารถสวมครอบศรีษะจะห่อหุ้มส่วนใบหน้าและส่วนหัวมิดชิด และเจาะช่องเป็นรูกลมที่ตาของหน้ากากให้ตรงกับนัยน์ตาของผู้แสดง เพื่อให้นักแสดงมองเห็นการแสดง

 

หัวโขน อาจแบ่งตามประเภทของหัวโขนที่ใช้สวมอย่างละ 2 จำพวก คือ ยักษ์ยอด ยักษ์โล้น และลิงยอด ลิงโล้น นอกจากนี้หัวโขนก็ยังแบ่งออกได้ตามชนิดของหัวโขนซึ่งมีลักษณะต่างๆ กัน ซึ่งจะแบ่งเป็นฝ่ายลงกา และฝ่ายพลับพลาดังนี้

ฝ่ายลงกา (ยักษ์) แบ่งออกได้ดังนี้
1. มงกุฎยอดกระหนก เช่น พยาทูษณ์ มัยราพณ์ 8. มงกุฎยอดสามกลีบ เช่น ทัพนาสูร สวาหุ มารีศ
2. มงกุฎยอดจีบ เช่น พญาขร สัทธาสูร 9. มงกุฎยอดหางไหล เช่น ตรีเมฆ (เฉพาะตัวเดียว)
3. มงกุฎยอดหางไก่ เช่น วิรุญจำบัง บรรลัยจักร 10. มงกุฎยอดนาค เช่น มังกรกัณฐ์ (เฉพาะตัวเดียว)
4. มงกุฎยอดน้ำเต้า เช่น พิเภก ชิวหา 11. มงกุฎตามหัวหรือหน้า เช่น ทศกัณฐ์มี 10 หน้า ตรีเศียรมี 3 หน้า เป็นต้น
5. มงกุฎยอดน้ำเต้ากลม เช่น กุเวรนุราช เปาวนาสูร 12. พวกไม่มีมงกุฎ เช่น กุมภกรรณ มูลพลัม
6. มงกุฎยอดน้ำเต้าเฟื่อง เช่น บรรลัยกัลป์ วันยุวิก 13. หัวโล้น เช่น เสนายักษ์ทั่วไป
7. มงกุฎยอดกาบไผ่ เช่น รามสูร ทศคีรีวัน ทศคีรีธร 14. หัวเขนยักษ์และตัวตลกฝ่ายยักษ์
 

แม้จะได้บัญญัติและประดิษฐ์หัวโขนให้มีลักษณะแตกต่างกันแล้ว ก็ยังมิวายที่จะซ้ำกันอีก จึงต้องประดิษฐ์หน้าโขนโดยให้ทำปาก และตาให้แตกต่างกันไป ซึ่งอาจแบ่งประเภทของหน้าออกไปตามลักษณะของปากและตาอีก 4 จำพวกคือ

 

1. ปากแสยะ ตาโพลง เช่น ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ 3. ปากขบ ตาโพลง เช่น อินทรชิต รามสูร
2. ปากแสยะ ตาจรเข้ เช่น พิเภก พิราพ 4. ปากขบ ตาจรเข้ เช่น มัยราพณ์ มังกรกัณฐ์

แม้จะได้บัญญัติหัวและหน้าให้แตกต่างกันแล้ว ก็ยังมีซ้ำกันอยู่จึงต้องบัญญัติให้มีสีหน้าแตกต่างกัน เช่น จำพวกมงกุฎกระหนก มีอยู่หลายตัว ถ้าสีม่วงอ่อนเป็นกุเปรัน สีม่วงแก่เป็นพญาทูษณ์ ถ้าสีครามอ่อนก็เป็นท้าวไวยตาล ถ้าสีแดงชาด ก็เป็นแสงอาทิตย์ เป็นต้น

 

 

ฝ่ายพลับพลา (ลิง) แยกประเภทออกได้ดังนี้
1. มงกุฎยอดบัด เช่น พาลี สุครีพ
2. มงกุฎยอดชัยหรือยอดแหลม เช่น ชมพูพาน ชามพูวราช
3. มงกุฎยอดสามกลีบ เช่น องคต (เฉพาะตัวเดียว)
4. พวกไม่มีมงกุฎแต่เป็นลิงพญา เช่น หนุมานนิลพัท นิลนนท์
5. พวกไม่มีมงกุฎแต่เรียกมงกุฎ เช่น สิบแปดมงกุฎ
6. พวกเตียวเพชรและจังเกียง เช่น เตียวเพชร
7. หัวลิงเขนและหัวตลกฝ่ายลิง

พวกพญาวานรที่ไม่มีมงกุฎและพวกสิบแปดมงกุฎ กับพวกเตียวเพชร มักเรียกรวมๆ กันว่าลิงโล้น ต่างก็มีลักษณะหัวคล้ายๆ กัน จึงต้องบัญญัติสีกายและสีหน้าของวานรให้แตกต่างกันด้วย เช่น วานรสีหงสบาท เป็นนิลนนท์ วานรสีสัมฤทธิ์ เป็นนิลปาสัน วานรสีทองแดง เป็นนิลเอก แม้จะบัญญัติให้แตกต่างกันด้วยสี ก็ยังมีซ้ำกันอีก เช่น วานรสีขาว ปากอ้าเป็นหนุมาน ถ้าหุบเป็น สัตพลี และหนุมานถือตรีเป็นอาวุธ สัตพลีถือพระขรรค์เป็นอาวุธ เป็นต้น (ธนิต อยู่โพธิ์ 2511 : 99 - 105)